“จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” อ่วม ฎีกาให้ร่วมชดใช้ 21 ล้าน คดีเผาตึกปี 53

buy provigil ireland ที่ศาลแพ่ง เวลา 09.45 น. วันที่ 16 ต.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 1762/2554 ที่นายประสงค์ กังวาฬวัฒนา เจ้าของกิจการอาคารพาณิชย์ ย่านอนุสาวรีย์ชัย เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน), นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, กระทรวงมหาดไทย, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีต รมว.มหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และอดีต รมว.กลาโหม ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-10 ฐานละเมิดเรียกค่าหาย และผิดตามสัญญาประกันภัย

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคารและร้านค้าย่านอนุสาวรีย์ (บริเวณใกล้อาคารเซ็นเตอร์วัน) ต่อมาเกิดการชุมนุมของกลุ่ม นปช. และเจ้าหน้าที่รัฐได้ทำการสลายการชุมนุม นปช. ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 นำไปสู่การเกิดเหตุการณ์เผาอาคารในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในวันที่ 20-21 พ.ค.2553 โดยสำนวนนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีเผาอาคารพาณิชย์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใกล้อาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน และอาคารดอกหญ้า ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ในฐานะผู้เอาประกัน เรียกค่าเสียหายตามกรมธรรม์ และฟ้องจำเลย นปช.ฐานละเมิด

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ทั้งส่วนของสัญญาประกันภัย และละเมิด ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องยืน กับจำเลยที่ 1 ถึง 7 แต่พิพากษาให้นายจตุพร พรหมพันธ์ุ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ จำเลยที่ 8-10 (แกนนำ นปช.) ร่วมกันชำระเงินจำนวน 30,509,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พ.ค. 2553 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 638,710 บาท ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท ทั้งโจทก์จำเลยฎีกา

คู่ความมีเพียงสำนักงานอัยการสูงสุดที่เป็นผู้แทนจำเลย ขณะที่ฝ่าย นปช.ไม่มาฟังคำพิพากษา มีเพียงนายกัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความจำเลยที่ 8 ถึง 10 มาศาล แต่มาในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยศาลฎีกาได้พิพากษาใจความว่า แก้ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันชำระค่าอาคารพาณิชย์ที่พิพากษาพร้อมทรัพย์สินที่โจทก์เสียหาย จำนวน 21,356,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พ.ค. 2553 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับค่าขาดผลประโยชน์ 1,200,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 100,000 บาท ไม่เกิน 24 เดือน นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 พ.ค. 2554) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระค่าอาคารพาณิชย์ที่พิพากษาพร้อมทรัพย์สินที่โจทก์เสียหายเสร็จแก่โจทก์

แต่ทั้งนี้ ให้เสียค่าเสียหายได้ไม่เกิน 24 เดือน ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนทรัพย์สินโจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 100,000 บาท

นายกัณพัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความ เผยว่า คดีนี้ชั้นต้นยกมาตลอด แต่ศาลอุทธรณืให้จ่ายคนละ30ล้านบาท ส่วนการปฏิบัติตามคำพิพากษา วันนี้ แม้ตนเคยทำหน้าที่ทนายความให้จำเลยที่8ถึง10 แต่ตนมาในฐานะสังเกตการณ์ ไม่ได้มาในนามจำเลยทั้งสาม จึงไม่ถือว่า ได้ทราบคำบังคับตามคำพิพากษาแล้ว ซึ่งจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างไรเป็นอีกเรื่อง ส่วนค่าเสียหายเดือนละแสนรวม 24 เดือนก็ไม่เกิน 2.4 ล้านบาท ค่าฤชาธรรมเนียม มีค่าทนาย 1 แสนบาท นอกนั้น เป็นไปตามศาลอุทธรณ์ ซึ่งตนดูแล้วก็ประมาณ30ล้านบาท…

ขอขอบคุณ ไทยรัฐ